เวลาใดบ้าง ที่ไม่ ส ม ค ว ร จะไปวัด

ศาสนิกชนเช่นเรา ๆ ควรทราบว่ามีบางวันเวลาที่ไม่สมควรจะไปวัด ซึ่งในที่นี้หมายถึงช่วงเวลา “กลางวันบางช่วง” เท่านั้น

เนื่องจากพระภิกษุในวัดท่านจะมีกิจที่ต้องทำซึ่งเป็นกิจของ ส ง ฆ์ โดยเฉพาะ ถ้าเราไปวัดในวันและเวลาดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสไปทำบุญหรือพูดคุยได้สะดวก และอาจเป็นการรบกวนท่านอีกด้วย

1. ไปวัดในวันโกน

วันโกนคือ วันที่พระท่านต้องทำกิจคือ โกนผม โกนหนวด ตัดเล็บ ปฏิบัติตามกฎของท่านที่จะไว้ผม ย า ว ได้ไม่เกิน 2 เดือน หรือ 2 นิ้ว ไม่ไว้หนวดเครา ไม่ไว้เล็บ ย า ว ไม่ให้ขนจมูก ย า ว เป็นต้น

ซึ่งวันโกนนับง่ายๆว่า เป็นวัน “ก่อนหน้าวันพระ 1 วัน” คือวันขึ้น 7 ค่ำกับวันแรม 7 ค่ำ และ วันขึ้น 14 ค่ำ กับแรม 14 ค่ำ หรือไม่ก็ตรงกับ แรม 13 ค่ำถ้าเป็นเดือนขาด

2. ไปวัดในวันสวดปาติโมกข์

กิจของพระอีก อ ย่ า ง หนึ่งคือทุกครึ่งเดือน (วันที่ 15 หรือวันที่ 30,31) พระท่านจะต้องลงโบสถ์ฟังสวดปาติโมกข์ซึ่งเป็นการฟังการ ส า ธ ย า ย ทบทวนศีล 227 ข้อที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้ในวันมาฆบูชานั่นเอง

3. ช่วงเวลากวาดและทำความสะอาดวัด

ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ประมาณ 4-5 โมงเย็นของในแต่ละวัดจะมีกิจที่พระสงฆ์ต้องร่วมกันทำ ซึ่งปกติท่านก็สามารถทำได้ทั้งวันอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละวัดอาจไม่เหมือนกัน

แต่จะมีช่วงเวลาที่ พระภิกษุ สามเณร ไม่เว้นแม้แต่เจ้าอาวาส ท่านจะออกมาร่วมกันกวาดและทำความสะอาดวัดพร้อมกันทั้งหมด

นอกจากเป็นการทำความสะอาดให้วัดน่าดูแล้ว ยังเป็นการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจของพระท่านอีกทางหนึ่ง ผู้ที่จะไปวัดนั้นควรสอบถามหรือศึกษารายละเอียดข้อปฏิบัติของวัดนั้น ๆจากพระในวัดให้ดีก่อน

4. ช่วงเวลาที่พระท่านกำลังปฏิบัติธรรม

การไปรบกวนพระสงฆ์ที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ ก็กลายเป็น บ าปได้เช่นกัน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ซึ่งเป็นกันมากในหมู่คนที่ไปทำบุญที่วัดและสำนักปฏิบัติธรรม โดยคิดแต่ประโยชน์ความสะดวกส่วนตนโดยไม่นึกถึงพระ ทั้ง ๆที่พระท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่

เรื่องนี้มีตัว อ ย่ างที่แสดงให้เห็นถึงผลเสียอย่างชัดเจน จากคำบอกเล่าของ หลวงปู่ ดุลย์ อตุโล พระอริยเจ้าสำคัญอีกรูปหนึ่งของเมืองไทย ท่านได้เมตตาบอกกล่าวเอาไว้ว่า

ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์หลวงปู่ผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาลูกศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง

และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ ก็ยังไปจับแขนดึงท่านขึ้นมาทั้งที่ท่านกำลังนั่งภาวนา

เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อปู่ดุลย์ ท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า

“ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง “แซก” ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อ ต า ย แล้วได้ไปอยู่ใน น ร ก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นก็ยังไม่ได้ขึ้นมาจาก น ร ก เลย”

ซึ่งก็หมายความว่า การที่คนเรานั้นไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์นั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะเป็นบาป อ ย่ า ง มหันต์โดยที่หลายคนอาจจะไม่รู้ตัว การไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมหรืออะไรก็ตาม

จริงๆ แล้วต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ดูที่กฎแห่ง ก ร ร ม ถ้าเป็น ก ร ร ม ที่ไม่ได้มีเจตนาหรือขาดเจตนาก็อาจจะกลายเป็น อ โ ห สิ ก ร ร ม ได้

ดังนั้นควรระมัดระวังตนให้ดีและ รู้จักสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ วัดนั้นเป็นสถานที่ที่เราสามารถไปได้บ่อย ๆ ก็จริงแต่ อ ย่ างไรก็ตาม

วัด ถือเป็นสถานที่ประกอบบุญอันมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของสถานที่อยู่แล้ว รวมถึงพระในวัดด้วย เราต้องรู้จักกาลเทศะ คือ รู้ทั้งเวลาและโอกาสอันเหมาะสมจึงจะได้บุญ อ ย่ า ง ที่ปรารถนา

ขอบคุณที่มา http://horoscope.sanook.com

Facebook Comments